"ทาน"ที่เด็กๆเค้าขอแบ่งปัน
บทบัญญัติและวิทยปัญญา(ฮิกมะฮ์)
ซะกาตฟิฏเราะฮ์ตามมติเอกฉันท์ของอุลามะอ์ถือเป็นฟัรฎู(จำเป็น) ดังรายงานจากท่านอิบนุอุมัรว่า
"ท่านเราะซูล ได้กำหนดการจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮ์ เป็นผลอินทผลัมจำนวน 1 ทะนาน(ศออ์) หรือข้าวบาเล่ย์จำนวน 1 ทะนาน จำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนมิว่าจะเป็นทาส เป็นไท ชาย หญิง เด็ก หรือผู้ใหญ่ และท่านได้สั่งใช้เรื่องดังกล่าวนี้ให้ทุกคนปฎิบัติให้เสร็จสิ้นก่อนที่ผู้คนทั้งหลายจะออกสู่การละหมาด(อีดิ้ลฟิตร์)"(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์)
รายงานจากท่าน อิบนุอับบาส กล่าวว่า
"ท่านเราะซูล ได้กำหนดจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮ์ให้กับผู้ที่ถือศีลอด เพื่อเป็นการชำระคำพูดที่เหลวไหล และหยาบคาย เป็นอาหารให้กับผู้ที่ขัดสน บุคคลใดที่จ่ายซะกาตก่อนละหมาด(อีดิ้ลฟิตร์) ถือว่าเป็นซะกาตที่ได้รับการตอบรับ และบุคคลใดที่จ่ายซะกาตหลังละหมาด(อีดิ้ลฟิตร์) ถือว่าเป็นการทำศอดาเกาะฮ์อย่างหนึ่ง จากบรรดาศอดาเกาะฮ์ต่างๆ"(หะดิษฮะซัน บันทึกโดย อบูดาวูด อิบนุมาญะฮ์ อัลฮากิม)
รายงานจากท่าน วะเกี๊ย บินญะร่อฮ์ กล่าวว่า
"ซะกาตฟิตเราะฮ์ สำหรับเดือนรอมาฏอน เหมือนกับสูญูดซะวีย์ในละหมาด เป็นการรักษาสิ่งที่บกพร่องในการถือศีลอด เช่นเดียวกับสุญูดซะวีย์ เป็นการรับกษาสิ่งที่บกพร่องในละหมาด"
ใครบ้างที่ต้องจ่ายซะกาตฟิฎเราะฮ์ ?
ซะกาตฟิฎเราะฮฺ ตามมติฉันท์ของอุละมาอ์ถือเป็นฟัรฏู(จำเป็น) ดั่งรายงานจากท่านอิบนุอุมัร กล่าวว่า :
"ท่านเราะซูล ได้กำหนดการจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺเป็นผลอินทผลัมจำนวน 1 ทะนาน(ศออ์) หรือข้าวบาเล่ย์จำนวน 1 ทะนาน
จำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนมิว่าจะเป็นทาส เป็นไท ชาย หญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ และท่านได้สั่งใช้เรื่องดังกล่าวนี้ให้ทุกคนปฏิบัติมันให้เสร็จสิ้นก่อนที่ผู้คนทั้งหลายจะออกไปสู่การละหมาด(อีดุลฟิฏรีย์)” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์)
สำหรับบุคคลที่ลำบาก เขาไม่ต้องจ่ายฟิฏเราะฮฺโดยปราศจากทัศนะใดๆที่ขัดแย้ง ส่วนกรณีผู้ที่มีอาหารเพียงน้อยนิด คือมีแค่อาหารที่เขาเก็บไว้ใช้บริโภคสำหรับคืนก่อนวันอีดและวันอีด เช่นหากมีข้าวสารจำนวนเท่ากับจำนวน 1 ศออ์ขึ้นไป ย่อมถือว่าผู้นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถจ่ายได้ แต่หากเขาไม่มีข้าวสารหรืออาหารใดๆเลยในเวลาดังกล่าวนั้นถือว่าเขาคือผู้ลำบาก และไม่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตในขณะนั้น เพราะไม่ครบเงื่อนไขที่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตคือครบจำนวนนิศอบของซะกาต นี้คือทัศนะของบรรดาอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ญุมหูร)ซึ่งมีเพียงนักวิชาการสายมัซฮับหะนะฟีย์เท่านั้นที่เห็นต่างออกไป
สรุป คือบรรดาอุละมาอ์ส่วนใหญ่ถือว่า หากบุคคลใดมีอาหารหรือข้าวสารไม่ครบนิศอบ(คือ 1 ศออ์ขึ้นไป)ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺ ในที่นี้รวมถึงทารกที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาก็ไม่ต้องจ่าย แต่หากผู้ปกครองสมัครใจจะจ่ายให้ย่อมถือเป็นซุนนะฮฺ เนื่องจากมีปรากฏการกระทำของท่านอุษมาน บินอัฟฟาน ซึ่งตรงกับทัศนะของบรรดานักวิชาการสายมัซฮับหัมบะลีย์
สำหรับคนใช้ไม่ว่าเพศหญิงหรือชาย ที่ถูกจ้างวานให้ทำงานโดยมีค่าตอบแทนเป็นรายวัน หรือรายเดือนก็ตาม กรณีนี้นายจ้างไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการจ่ายซะกาต เพราะถือเป็นผู้มีอาชีพรับจ้างซึ่งต้องรับผิดชอบตัวเอง แต่หากนายจ้างใจบุญประสงค์จะจ่ายซะกาตแทนให้ ก็กระทำได้แต่จำเป็นต้องบอกกล่าวให้ลูกจ้างรับทราบด้วย เพราะการจ่ายซะกาตถือเป็นอิบาดะฮฺอย่างหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการแสดงถึงความเมตตาต่อลูกจ้างนับเป็นการกุศลที่ผู้กระทำย่อมได้รับการตอบแทนความดีอย่างแน่นอน
อัตราของซะกาตฟิฏเราะฮฺ
อัตราซะกาตฟิฏเราะฮฺ คือ 1 ศออ์(ทะนาน)จากชนิดอาหารหลักที่ใช้บริโภคในประเทศ จำนวน 1 ศออ์ของท่านนบี ศ็อลฯเท่ากับ 4 มุด ( หรือ 4 กอบมือขนาดปานกลาง) นักวิชาการบางท่านให้ทัศนะว่าเท่ากับ 2.5 กิโลกรัม และบางท่านก็เทียบเท่ากับ 3 กิโลกรัม
ทั้งนี้จากรายของท่านอิบนุอุมัร ว่า :
"ท่านเราะซูล ได้กำหนดซะกาตฟิฏเราะฮฺเท่ากับผลอินทผลัม 1 ศออ์ หรือข้าวบาเล่ย์ 1 ศออ์ บังคับสำหรับมุสลิมทั้งที่เป็นทาสและเป็นไท ชาย-หญิง หรือเด็กและผู้ใหญ่ โดยท่านได้สั่งให้ปฏิบัติมันให้เสร็จสิ้นก่อนที่ผู้คนจะเดินทางออกไปละหมาด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์)
เวลา และสถานที่จ่ายซะกาตฟิฎเราะฮฺ
คือให้จ่ายในช่วงเวลาก่อนการละหมาดอีด สำหรับอุละมาอ์สายมัซฮับมาลิกียะฮฺ และหะนาบีละฮฺอนุญาติให้จ่ายล่วงหน้าก่อนวันอีดสัก 2-3 วันได้ ส่วนอุละมาอ์สายชาฟิอียะฮฺมีทัศนะว่าสามารถจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มเข้าเดือนรอมฏอน แต่ที่ดีที่สุดควรจ่ายก่อนการละหมาดอีด
บุคคลผู้มีสิทธิได้รับซะกาตฟิฏเราะฮฺ
♥ ซะกาตฟิฏเราะฮฺสามารถแจกจ่ายไปให้แก่บุคคลทั้ง 8 ประเภทเช่นเดียวกับในกรณีของซะกาตุลมาล นี้คือทัศนะของบรรดาอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ญุมหูร)
♥ ขณะที่อุละมาอ์สายมาลิกียะฮฺมีทัศนะตามสายรายงานของอิม่ามอะห์มัด คือการแจกจ่ายซะกาตเจาะจงเฉพาะบุคคลที่ยากจน(ฟุเกาะรออ์)และขัดสน(มะซากีน)
♥ ส่วนอิม่ามอัช-ชาฟิอีย์เห็นว่า ซะกาตฟิฏเราะฮฺสามารถแจกจ่ายให้แก่บุคคลประเภทต่างๆเหมือนเช่นซะกาตุลมาลนั้นได้ และไม่อนุญาตแก่บุคคลประเภทอื่น
♥ ท่านอิม่ามมาลิกกล่าวว่า ไม่มีข้อห้ามอันใดที่บุคลลหนึ่งๆจะมอบซะกาตของตัวเอง และซะกาตของครอบครัวของเขาให้แก่คนยากจนคนเดียวกัน
♥ และมีระบุว่าอิม่ามอะหมัด อนุญาติให้แจกจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺจำนวนศออ์หนึ่งให้แก่บุคคลหลายคน หรือจะจ่ายฟิฏเราะฮฺจำนวนหลายศออ์ให้แก่บุคคลคนเดียวก็ได้
สำหรับบุคคลที่มิพึงได้รับซะกาตฟิฏเราะฮฺมี 5 ประเภทด้วยกัน คือ
1. คนร่ำรวย หรือบุคคลที่ไม่มีความเดือดร้อนเกี่ยวกับเงิน หรือการทำงานหาปัจจัยใดๆอีกแล้ว เนื่องปรากฏหะดีษหนึ่งที่ท่านนบี กล่าวว่า
"การบริจาคทานมิอาจให้แก่คนร่ำรวย และบุคคลที่มีความเข้มแข็งสมบูรณ์อยู่แล้ว”(หะดีษหะซัน บันทึกโดยอะหมัด อบูดาวุด อัต-ติรมิซีย์ และอัด-ดารอมีย์)
2. ทาส หรือทาสี เนื่องเขาอยู่ภายใต้การดูแลและรับผิดชอบของผู้เป็นนายอยู่แล้ว และสภาพของตัวเขาเองก็มิอาจถือครองทรัพย์สินใดๆได้ด้วย
3. บุคคลในตระกูลบนูฮาชิม หรือบนูอัล-มุฏเฏาะลิบ เนื่องคำกล่าวของท่านนบี กล่าวว่า“แท้จริงทานบริจาค(เศาะดะเกาะฮฺ)ไม่สมควรได้แก่ลูกหลานของมุฮัมมัด เพราะแท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องด่างพร้อย”(บันทึกโดยมุสลิม)
4. บุคคลซึ่งอยู่ภายใต้เลี้ยงดูของผู้จ่ายซะกาต หมายถึงเขาจะจ่ายซะกาตนั้นให้แก่ผู้อยู่ภายใต้การปกครองในนามของคนยากจน(ฟุเกาะรออ์)หรือคนขัดสน(มิสกีน)มิได้
5. บุคคลผู้ปฏิเสธ(หรือกาฟิร) เนื่องหะดีษหนึ่งท่านนบี กล่าวว่า“...ดังนั้นพึงบอกให้พวกเขาทราบเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดให้พวกเขาบริจาคประเภทหนึ่ง ซึ่งรับมาจากบรรดาผู้ร่ำรวยของพวกเขา เพื่อแจกจ่ายในระหว่างบรรดาคนยากจนของพวกเขา”(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
ยะซากัลลอฮุค็อยรอลข้อมูลด้านศาสนา โดย : www.islammore.com
ซะกาตฟิฏเราะฮ์ตามมติเอกฉันท์ของอุลามะอ์ถือเป็นฟัรฎู(จำเป็น) ดังรายงานจากท่านอิบนุอุมัรว่า
"ท่านเราะซูล ได้กำหนดการจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮ์ เป็นผลอินทผลัมจำนวน 1 ทะนาน(ศออ์) หรือข้าวบาเล่ย์จำนวน 1 ทะนาน จำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนมิว่าจะเป็นทาส เป็นไท ชาย หญิง เด็ก หรือผู้ใหญ่ และท่านได้สั่งใช้เรื่องดังกล่าวนี้ให้ทุกคนปฎิบัติให้เสร็จสิ้นก่อนที่ผู้คนทั้งหลายจะออกสู่การละหมาด(อีดิ้ลฟิตร์)"(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์)
รายงานจากท่าน อิบนุอับบาส กล่าวว่า
"ท่านเราะซูล ได้กำหนดจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮ์ให้กับผู้ที่ถือศีลอด เพื่อเป็นการชำระคำพูดที่เหลวไหล และหยาบคาย เป็นอาหารให้กับผู้ที่ขัดสน บุคคลใดที่จ่ายซะกาตก่อนละหมาด(อีดิ้ลฟิตร์) ถือว่าเป็นซะกาตที่ได้รับการตอบรับ และบุคคลใดที่จ่ายซะกาตหลังละหมาด(อีดิ้ลฟิตร์) ถือว่าเป็นการทำศอดาเกาะฮ์อย่างหนึ่ง จากบรรดาศอดาเกาะฮ์ต่างๆ"(หะดิษฮะซัน บันทึกโดย อบูดาวูด อิบนุมาญะฮ์ อัลฮากิม)
รายงานจากท่าน วะเกี๊ย บินญะร่อฮ์ กล่าวว่า
"ซะกาตฟิตเราะฮ์ สำหรับเดือนรอมาฏอน เหมือนกับสูญูดซะวีย์ในละหมาด เป็นการรักษาสิ่งที่บกพร่องในการถือศีลอด เช่นเดียวกับสุญูดซะวีย์ เป็นการรับกษาสิ่งที่บกพร่องในละหมาด"
ใครบ้างที่ต้องจ่ายซะกาตฟิฎเราะฮ์ ?
ซะกาตฟิฎเราะฮฺ ตามมติฉันท์ของอุละมาอ์ถือเป็นฟัรฏู(จำเป็น) ดั่งรายงานจากท่านอิบนุอุมัร กล่าวว่า :
"ท่านเราะซูล ได้กำหนดการจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺเป็นผลอินทผลัมจำนวน 1 ทะนาน(ศออ์) หรือข้าวบาเล่ย์จำนวน 1 ทะนาน
จำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนมิว่าจะเป็นทาส เป็นไท ชาย หญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ และท่านได้สั่งใช้เรื่องดังกล่าวนี้ให้ทุกคนปฏิบัติมันให้เสร็จสิ้นก่อนที่ผู้คนทั้งหลายจะออกไปสู่การละหมาด(อีดุลฟิฏรีย์)” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์)
สำหรับบุคคลที่ลำบาก เขาไม่ต้องจ่ายฟิฏเราะฮฺโดยปราศจากทัศนะใดๆที่ขัดแย้ง ส่วนกรณีผู้ที่มีอาหารเพียงน้อยนิด คือมีแค่อาหารที่เขาเก็บไว้ใช้บริโภคสำหรับคืนก่อนวันอีดและวันอีด เช่นหากมีข้าวสารจำนวนเท่ากับจำนวน 1 ศออ์ขึ้นไป ย่อมถือว่าผู้นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถจ่ายได้ แต่หากเขาไม่มีข้าวสารหรืออาหารใดๆเลยในเวลาดังกล่าวนั้นถือว่าเขาคือผู้ลำบาก และไม่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตในขณะนั้น เพราะไม่ครบเงื่อนไขที่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตคือครบจำนวนนิศอบของซะกาต นี้คือทัศนะของบรรดาอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ญุมหูร)ซึ่งมีเพียงนักวิชาการสายมัซฮับหะนะฟีย์เท่านั้นที่เห็นต่างออกไป
สรุป คือบรรดาอุละมาอ์ส่วนใหญ่ถือว่า หากบุคคลใดมีอาหารหรือข้าวสารไม่ครบนิศอบ(คือ 1 ศออ์ขึ้นไป)ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺ ในที่นี้รวมถึงทารกที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาก็ไม่ต้องจ่าย แต่หากผู้ปกครองสมัครใจจะจ่ายให้ย่อมถือเป็นซุนนะฮฺ เนื่องจากมีปรากฏการกระทำของท่านอุษมาน บินอัฟฟาน ซึ่งตรงกับทัศนะของบรรดานักวิชาการสายมัซฮับหัมบะลีย์
สำหรับคนใช้ไม่ว่าเพศหญิงหรือชาย ที่ถูกจ้างวานให้ทำงานโดยมีค่าตอบแทนเป็นรายวัน หรือรายเดือนก็ตาม กรณีนี้นายจ้างไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการจ่ายซะกาต เพราะถือเป็นผู้มีอาชีพรับจ้างซึ่งต้องรับผิดชอบตัวเอง แต่หากนายจ้างใจบุญประสงค์จะจ่ายซะกาตแทนให้ ก็กระทำได้แต่จำเป็นต้องบอกกล่าวให้ลูกจ้างรับทราบด้วย เพราะการจ่ายซะกาตถือเป็นอิบาดะฮฺอย่างหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการแสดงถึงความเมตตาต่อลูกจ้างนับเป็นการกุศลที่ผู้กระทำย่อมได้รับการตอบแทนความดีอย่างแน่นอน
อัตราของซะกาตฟิฏเราะฮฺ
อัตราซะกาตฟิฏเราะฮฺ คือ 1 ศออ์(ทะนาน)จากชนิดอาหารหลักที่ใช้บริโภคในประเทศ จำนวน 1 ศออ์ของท่านนบี ศ็อลฯเท่ากับ 4 มุด ( หรือ 4 กอบมือขนาดปานกลาง) นักวิชาการบางท่านให้ทัศนะว่าเท่ากับ 2.5 กิโลกรัม และบางท่านก็เทียบเท่ากับ 3 กิโลกรัม
ทั้งนี้จากรายของท่านอิบนุอุมัร ว่า :
"ท่านเราะซูล ได้กำหนดซะกาตฟิฏเราะฮฺเท่ากับผลอินทผลัม 1 ศออ์ หรือข้าวบาเล่ย์ 1 ศออ์ บังคับสำหรับมุสลิมทั้งที่เป็นทาสและเป็นไท ชาย-หญิง หรือเด็กและผู้ใหญ่ โดยท่านได้สั่งให้ปฏิบัติมันให้เสร็จสิ้นก่อนที่ผู้คนจะเดินทางออกไปละหมาด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์)
เวลา และสถานที่จ่ายซะกาตฟิฎเราะฮฺ
คือให้จ่ายในช่วงเวลาก่อนการละหมาดอีด สำหรับอุละมาอ์สายมัซฮับมาลิกียะฮฺ และหะนาบีละฮฺอนุญาติให้จ่ายล่วงหน้าก่อนวันอีดสัก 2-3 วันได้ ส่วนอุละมาอ์สายชาฟิอียะฮฺมีทัศนะว่าสามารถจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มเข้าเดือนรอมฏอน แต่ที่ดีที่สุดควรจ่ายก่อนการละหมาดอีด
บุคคลผู้มีสิทธิได้รับซะกาตฟิฏเราะฮฺ
♥ ซะกาตฟิฏเราะฮฺสามารถแจกจ่ายไปให้แก่บุคคลทั้ง 8 ประเภทเช่นเดียวกับในกรณีของซะกาตุลมาล นี้คือทัศนะของบรรดาอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ญุมหูร)
♥ ขณะที่อุละมาอ์สายมาลิกียะฮฺมีทัศนะตามสายรายงานของอิม่ามอะห์มัด คือการแจกจ่ายซะกาตเจาะจงเฉพาะบุคคลที่ยากจน(ฟุเกาะรออ์)และขัดสน(มะซากีน)
♥ ส่วนอิม่ามอัช-ชาฟิอีย์เห็นว่า ซะกาตฟิฏเราะฮฺสามารถแจกจ่ายให้แก่บุคคลประเภทต่างๆเหมือนเช่นซะกาตุลมาลนั้นได้ และไม่อนุญาตแก่บุคคลประเภทอื่น
♥ ท่านอิม่ามมาลิกกล่าวว่า ไม่มีข้อห้ามอันใดที่บุคลลหนึ่งๆจะมอบซะกาตของตัวเอง และซะกาตของครอบครัวของเขาให้แก่คนยากจนคนเดียวกัน
♥ และมีระบุว่าอิม่ามอะหมัด อนุญาติให้แจกจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺจำนวนศออ์หนึ่งให้แก่บุคคลหลายคน หรือจะจ่ายฟิฏเราะฮฺจำนวนหลายศออ์ให้แก่บุคคลคนเดียวก็ได้
สำหรับบุคคลที่มิพึงได้รับซะกาตฟิฏเราะฮฺมี 5 ประเภทด้วยกัน คือ
1. คนร่ำรวย หรือบุคคลที่ไม่มีความเดือดร้อนเกี่ยวกับเงิน หรือการทำงานหาปัจจัยใดๆอีกแล้ว เนื่องปรากฏหะดีษหนึ่งที่ท่านนบี กล่าวว่า
"การบริจาคทานมิอาจให้แก่คนร่ำรวย และบุคคลที่มีความเข้มแข็งสมบูรณ์อยู่แล้ว”(หะดีษหะซัน บันทึกโดยอะหมัด อบูดาวุด อัต-ติรมิซีย์ และอัด-ดารอมีย์)
2. ทาส หรือทาสี เนื่องเขาอยู่ภายใต้การดูแลและรับผิดชอบของผู้เป็นนายอยู่แล้ว และสภาพของตัวเขาเองก็มิอาจถือครองทรัพย์สินใดๆได้ด้วย
3. บุคคลในตระกูลบนูฮาชิม หรือบนูอัล-มุฏเฏาะลิบ เนื่องคำกล่าวของท่านนบี กล่าวว่า“แท้จริงทานบริจาค(เศาะดะเกาะฮฺ)ไม่สมควรได้แก่ลูกหลานของมุฮัมมัด เพราะแท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องด่างพร้อย”(บันทึกโดยมุสลิม)
4. บุคคลซึ่งอยู่ภายใต้เลี้ยงดูของผู้จ่ายซะกาต หมายถึงเขาจะจ่ายซะกาตนั้นให้แก่ผู้อยู่ภายใต้การปกครองในนามของคนยากจน(ฟุเกาะรออ์)หรือคนขัดสน(มิสกีน)มิได้
5. บุคคลผู้ปฏิเสธ(หรือกาฟิร) เนื่องหะดีษหนึ่งท่านนบี กล่าวว่า“...ดังนั้นพึงบอกให้พวกเขาทราบเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดให้พวกเขาบริจาคประเภทหนึ่ง ซึ่งรับมาจากบรรดาผู้ร่ำรวยของพวกเขา เพื่อแจกจ่ายในระหว่างบรรดาคนยากจนของพวกเขา”(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
ยะซากัลลอฮุค็อยรอลข้อมูลด้านศาสนา โดย : www.islammore.com