ความเข้าใจผิดในคำฟ้องต่อศาลปกครองเรื่องการถอนอำนาจการรับรองฮาลาล
เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2560 ที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้บังคับจุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยให้ยกเลิกตราฮาลาลจากสินค้าทั่วราชอาณาจักรภายในสามเดือน พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายตลอดระยะเวลาที่มีการติดตราฮาลาล พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี คำฟ้องเป็นไปในทำนองว่าการติดตราฮาลาลถูกบังคับใช้กับสินค้าทั้งหลายอย่างผิดกฎหมาย ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
การรับรองสินค้าว่า “ฮาลาล” สามารถให้ผู้บริโภคมุสลิมเกิดความเชื่อมั่นในตัวสินค้าเกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2492 แล้ว ครั้งนั้นผู้ประกอบการส่งออกเนื้อไก่ไปยังประเทศในตะวันออกกลางเกิดปัญหาไม่สามารถส่งออกได้เนื่องจากประเทศปลายทางไม่ยอมรับว่าไก่จากประเทศไทยถูกเชือดอย่างถูกต้อง บริโภคแล้วอาจเป็นบาป เป็นความเชื่อทางศาสนาสำหรับประชากรมุสลิมที่มีอยู่ทั่วโลกนับถึงวันนี้ไม่น้อยกว่า 1,800 ล้านคน เมื่อผู้ซื้อไม่มั่นใจ ผู้ขายอย่างผู้ประกอบการในเมืองไทยจำเป็นต้องหาทางสร้างความเชื่อมั่น ไม่อย่างนั้นขายไม่ได้ การขอการรับรองตราฮาลาลจึงเกิดขึ้นในประเทศไทยนับแต่นั้น
การรับรองฮาลาลในอดีตทำโดยสำนักจุฬาราชมนตรี จนกระทั่งปลาย พ.ศ.2542 จึงโอนไปที่คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 ที่ให้อำนาจไว้ว่าการดำเนินงานในกิจการศาสนาอิสลามให้เป็นอำนาจขององค์กรอิสลามเหล่านั้น ประโยชน์ที่ได้จากการรับรองฮาลาลจึงเกิดกับผู้ประกอบการซึ่งส่วนใหญ่มิใช่มุสลิม
ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารไปยังประเทศมุสลิม 57 ประเทศมีมูลค่า 347 ล้านเหรียญสหรัฐใน พ.ศ.2544 เมื่อถึง พ.ศ.2558 ผ่านไป 14 ปี มูลค่าการส่งออกพุ่งไปอยู่ที่ 6,100 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 17.6 เท่า เป็นการเติบโตมากที่สุดในบรรดาการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทั้งหมด ประโยชน์ที่ได้จากประเทศมุสลิมเหล่านั้นไหลมาสู่ผู้ประกอบการไทยโดยตรงและรัฐบาลไทยโดยอ้อมในรูปภาษีแต่ละปีมีจำนวนมหาศาล ทั้งนี้โดยไม่นับการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลไปยังประเทศที่มิใช่มุสลิมที่มีอยู่อีกมหาศาล เมื่อการส่งออกสะดุดลงจากปัญหาเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลก การส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาลกลับเติบโตสวนกระแส ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากฮาลาลมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ที่กลายไปเป็นรายได้ขององค์กรศาสนาอิสลามซึ่งทำหน้าที่ให้การรับรองฮาลาลอันเนื่องมาจากผู้ประกอบการมาขอรับบริการไม่ใช่การบังคับให้มาขอ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกันหน่อย
การร้องต่อศาลปกครองครั้งนี้จะด้วยเจตนาอะไรก็ตามที โดยอาจไม่เข้าใจความสำคัญของการรับรองฮาลาลต่อการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ อาจไม่ทราบว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของฮาลาลตกอยู่กับคนส่วนใหญ่ที่มิใช่มุสลิม อย่างไรก็ตาม ควรรับรู้ว่าการลดความเชื่อถือเรื่องตราสัญลักษณ์ฮาลาลนั้นผู้เสียประโยชน์โดยตรงคือประเทศไทย และประชาชนไทย หากไม่ให้องค์กรศาสนาอิสลามในประเทศไทยรับรองฮาลาลก็ต้องให้องค์กรจากต่างประเทศเข้ามารับรองอยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ส่งออกไม่ได้ หรือเจตนาคืออย่างนั้น
กรณียึดฮาลาลคืนยังไม่จบ(13/3/60)
เมื่อวานกับวันนี้สื่อมวลชนสองสามสำนักสัมภาษณ์ผมกรณีคนกลุ่มหนึ่งร้องต่อศาลปกครองขอให้ยึดฮาลาลคืนจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยสองวันติดกัน นอกเหนือจากเรื่องที่เคยชี้แจงไปแล้วยังมีประเด็นที่น่าสนใจอื่นอีก ดังนี้
ถาม: เขาบอกว่าโต๊ะอิหม่ามได้เงินเดือนจากรัฐบาลเดือนละ 18,000 บาท ทำไมต้องเอาใจมุสลิมกันอย่างนั้น
ตอบ: ไม่ใช่แค่โต๊ะอิหม่าม ทางคอเต็บ บืหลั่นก็ได้ด้วย แต่อิหม่ามได้ 1,500 บาทต่อเดือน คอเต็บ บิหลั่นได้คนละพันบาท รัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้แบ่งแยก ทุกคนต้องเท่ากัน เมื่อรัฐบาลให้ค่าตอบแทนเจ้าอาวาสก็ต้องให้อิหม่าม ให้บาทหลวงด้วย ประเทศไทยน่ารักตรงนี้ หากให้โต๊ะอิหม่าม 18,000 เจ้าอาวาส บาทหลวงก็ต้่องได้เท่ากันหรือมากกว่า เพียงแต่มันไม่ได้มากอย่างนั้น ข้อมูลมันไม่ถูกต้อง
ถาม: เขาว่าสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยมีรายได้จากฮาลาลมาก ไม่ต้องเสียภาษีด้วย เอาเปรียบกันเกินไปไหม
ตอบ: เรื่องไม่เสียภาษีนี่เรื่องจริง ใครบริจาคให้สำนักงานคณะกรรมการอิสลามยังลดหย่อนภาษีได้อีก แต่กฎหมายกำหนดไว้อย่างนั้น สำนักงานคณะกรรมการอิสลาม และมัสยิดจัดเป็นองค์กรศาสนาเหมือนวัดและโบสถ์ มีรายได้แล้วเขายกเว้นภาษีให้ ส่วนที่ว่ารายได้มากนั้น ตอน พ.ศ.2558 ประเทศไทยมีรายได้จากอาหารฮาลาลเข้าประเทศเฉพาะที่ส่งออกไปประเทศมุสลิมไม่นับผลิตภัณฑ์ฮาลาลที่ส่งออกไปยังประเทศที่ไม่ใช่มุสลิมรวมแล้ว 213,500 ล้านบาท เงินจำนวนนี้คนที่ได้ประโยชน์คือผู้ประกอบการ คนงาน เกษตรกร รัฐบาล คนไทยทั้งหมด ซึ่งแทบไม่มีมุสลิมเลย ส่วนสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยกับสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีรายได้จากเงินก้อนนี้ 70 ล้านบาท หรือเพียง 0.033%
ถาม: 70 ล้านบาทนี่เอาไปทำอะไรกัน
ตอบ: สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยมีบุคลากรประมาณ 150 คน หากรวมเจ้าหน้าที่ในสำนักจุฬาราชมนตรีด้วยก็ประมาณ 200 คน คนเหล่านี้ต้องการเงินเดือน คณะกรรมการมีฝ่ายต่างๆ 12 ฝ่าย ทั้งฮัจย์ สังคมสงเคราะห์ ยาเสพติด วิชาการ เยาวชน สตรี มีอนุกรรมการรวมกันแล้วหลายร้อย เจ้าหน้าที่ฮาลาลอีกเป็นร้อย มีค่าใช้จ่ายกับฝ่ายต่างๆมากมาย ครั้งที่แล้วน้ำท่วมก็ต้องลงไปช่วยที่นคร ภัยหนาวที่อิสาน ไฟไหม้โรงเรียนที่เชียงรายทำเอาเด็กนักเรียนเสียชีวิตไปหลายรายยังส่งเงินไปช่วย ทั้งหมดที่ว่ามานี่ไม่ใช่มุสลิมสักราย เพราะประเทศไทยแบ่งแยกไม่ได้ไง ต้องช่วยทั้งหมด ไปลงทุนเรื่องศูนย์บำบัดยาเสพติดอีกหลายสิบล้าน ทั้งกรรมการกลางยังต้องดูแลมัสยิดในอีก 38 จังหวัดที่ไม่มีกรรมการประจำจังหวัด คิดว่า 70 ล้านพอไหมล่ะ
ถาม: เรื่องฮาลาลทำไมต้องออกตรารับรองให้ด้วย
ตอบ: ไม่ออกให้ก็ได้ อย่างอินโดนีเซียประชากร 250 ล้านคน เป็นมุสลิม 215 ล้านคน ตลาดฮาลาลใหญ่โตมโหฬาร เขาว่าหากประเทศไทยส่งออกไปอินโดนีเซียแล้วไม่รับรองฮาลาล ต้องแจ้งด้วยว่าผลิตภัณฑ์ของเราไม่เหมาะกับมุสลิม หากไม่รับรองฮาลาล ทางอินโดนีเซียเขาขอมารับรองให้เอง วันนี้เรามีโรงงานที่พร้อมขอการรับรองฮาลาล 30,000 โรง แต่มาขอจริงแค่ 10% อีก 90% ไม่มาขอเนื่องจากตราฮาลาลไม่มีการบังคับ อยากจะได้ก็มาขอ ข่าวที่ว่าไปบังคับให้เขารับตราฮาลาลนั่นก็เข้าใจผิด
ถาม: เขาไม่ขอคงเพราะเก็บแพง
ตอบ: ตราฮาลาลประเทศไทยราคาถูกที่สุดแล้ว ทางคณะกรรมการกำหนดไว้ว่าห้ามเกิน 20,000 บาท เอาเข้าจริง OTOP SME ลดราคาหมด อย่างปีที่แล้ว SME 4,000 ราย ขอตราฮาลาลประเภทร้านอาหาร ไม่ต้องจ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว หลายจังหวัดเขาเก็บ OTOP แค่ร้อยบาท
ถาม: มีข่าวว่ามีคนบางกลุ่มขอให้ สนช. ออกกฎหมายโอนอำนาจการออกตราฮาลาลให้ไปอยู่กับองค์กรอื่นๆ
ตอบ: เรื่องนี้พูดกันมานาน บางทียังว่ารัฐบาลจะตั้งกรมฮาลาล ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าฮาลาลเป็นเรื่องศาสนา องค์กรหรือหน่วยงานที่ไม่ใช่ศาสนาไปรับรองฮาลาลอาจไม่เหมาะ ต่างประเทศไม่ยอมรับ อีกเรื่องหนึ่งคือกฎหมายว่าด้วยการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามประกาศใช้ใน พ.ศ.2540 เกิดในช่วงบรรยากาศประชาธิปไตยเบ่งบาน ตาม พรบ. มุสลิมทุกคนเลือกกรรมการมัสยิด อิหม่ามมัสยิดที่เลือกมาจากประชาชนเลือกกรรมการจังหวัด กรรมการจังหวัดเลือกจุฬาราชมนตรีและเลือกกรรมการกลาง โครงสร้างที่มอบอำนาจให้กับผู้แทนประชาชนอย่างนี้มีประเทศไทยประเทศเดียว แต่วันนี้ทางอินโดนีเซียกับมาเลเซียเขาจะทำตาม หากกรรมการมีปัญหาก็ต้องแก้ไขที่การพัฒนาองค์กรและบุคลากร ทำเหมือนสมัยพัฒนา อบต. อบจ. นั่นแหละ สุดท้ายก็ดีเอง หากจะตั้งองค์กรใหม่ก็ต้องหาองค์กรที่มีผู้แทนมาจากประชาชนอย่างนี้ ไม่ใช่เอาใครก็ได้อย่างที่บางประเทศทำ หรือให้รัฐมนตรีตั้งอย่างที่เคยเสนอกันมาแล้ว
ถาม: ทำไมกรรมการกลางไม่ชี้แจงให้คนเข้าใจ
ตอบ: บรรยากาศไม่ค่อยดีก็เลยไม่มีการชี้แจง ผมเองไม่ได้เป็นโฆษก เมื่อมีโอกาสก็อยากจะชี้แจง ที่ออกมาครั้งนี้ก็เพราะข้อมูลที่เผยแพร่ออกมา มันมีความเข้าใจผิดแยะ ฮาลาลให้ผลประโยชน์กับประเทศชาติมหาศาล คนที่ไม่รู้จะได้รู้
ที่มาข้อมูล : https://www.facebook.com/drwinaidahlan/
เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2560 ที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้บังคับจุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยให้ยกเลิกตราฮาลาลจากสินค้าทั่วราชอาณาจักรภายในสามเดือน พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายตลอดระยะเวลาที่มีการติดตราฮาลาล พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี คำฟ้องเป็นไปในทำนองว่าการติดตราฮาลาลถูกบังคับใช้กับสินค้าทั้งหลายอย่างผิดกฎหมาย ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
การรับรองสินค้าว่า “ฮาลาล” สามารถให้ผู้บริโภคมุสลิมเกิดความเชื่อมั่นในตัวสินค้าเกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2492 แล้ว ครั้งนั้นผู้ประกอบการส่งออกเนื้อไก่ไปยังประเทศในตะวันออกกลางเกิดปัญหาไม่สามารถส่งออกได้เนื่องจากประเทศปลายทางไม่ยอมรับว่าไก่จากประเทศไทยถูกเชือดอย่างถูกต้อง บริโภคแล้วอาจเป็นบาป เป็นความเชื่อทางศาสนาสำหรับประชากรมุสลิมที่มีอยู่ทั่วโลกนับถึงวันนี้ไม่น้อยกว่า 1,800 ล้านคน เมื่อผู้ซื้อไม่มั่นใจ ผู้ขายอย่างผู้ประกอบการในเมืองไทยจำเป็นต้องหาทางสร้างความเชื่อมั่น ไม่อย่างนั้นขายไม่ได้ การขอการรับรองตราฮาลาลจึงเกิดขึ้นในประเทศไทยนับแต่นั้น
การรับรองฮาลาลในอดีตทำโดยสำนักจุฬาราชมนตรี จนกระทั่งปลาย พ.ศ.2542 จึงโอนไปที่คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 ที่ให้อำนาจไว้ว่าการดำเนินงานในกิจการศาสนาอิสลามให้เป็นอำนาจขององค์กรอิสลามเหล่านั้น ประโยชน์ที่ได้จากการรับรองฮาลาลจึงเกิดกับผู้ประกอบการซึ่งส่วนใหญ่มิใช่มุสลิม
ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารไปยังประเทศมุสลิม 57 ประเทศมีมูลค่า 347 ล้านเหรียญสหรัฐใน พ.ศ.2544 เมื่อถึง พ.ศ.2558 ผ่านไป 14 ปี มูลค่าการส่งออกพุ่งไปอยู่ที่ 6,100 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 17.6 เท่า เป็นการเติบโตมากที่สุดในบรรดาการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทั้งหมด ประโยชน์ที่ได้จากประเทศมุสลิมเหล่านั้นไหลมาสู่ผู้ประกอบการไทยโดยตรงและรัฐบาลไทยโดยอ้อมในรูปภาษีแต่ละปีมีจำนวนมหาศาล ทั้งนี้โดยไม่นับการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลไปยังประเทศที่มิใช่มุสลิมที่มีอยู่อีกมหาศาล เมื่อการส่งออกสะดุดลงจากปัญหาเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลก การส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาลกลับเติบโตสวนกระแส ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากฮาลาลมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ที่กลายไปเป็นรายได้ขององค์กรศาสนาอิสลามซึ่งทำหน้าที่ให้การรับรองฮาลาลอันเนื่องมาจากผู้ประกอบการมาขอรับบริการไม่ใช่การบังคับให้มาขอ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกันหน่อย
การร้องต่อศาลปกครองครั้งนี้จะด้วยเจตนาอะไรก็ตามที โดยอาจไม่เข้าใจความสำคัญของการรับรองฮาลาลต่อการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ อาจไม่ทราบว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของฮาลาลตกอยู่กับคนส่วนใหญ่ที่มิใช่มุสลิม อย่างไรก็ตาม ควรรับรู้ว่าการลดความเชื่อถือเรื่องตราสัญลักษณ์ฮาลาลนั้นผู้เสียประโยชน์โดยตรงคือประเทศไทย และประชาชนไทย หากไม่ให้องค์กรศาสนาอิสลามในประเทศไทยรับรองฮาลาลก็ต้องให้องค์กรจากต่างประเทศเข้ามารับรองอยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ส่งออกไม่ได้ หรือเจตนาคืออย่างนั้น
กรณียึดฮาลาลคืนยังไม่จบ(13/3/60)
เมื่อวานกับวันนี้สื่อมวลชนสองสามสำนักสัมภาษณ์ผมกรณีคนกลุ่มหนึ่งร้องต่อศาลปกครองขอให้ยึดฮาลาลคืนจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยสองวันติดกัน นอกเหนือจากเรื่องที่เคยชี้แจงไปแล้วยังมีประเด็นที่น่าสนใจอื่นอีก ดังนี้
ถาม: เขาบอกว่าโต๊ะอิหม่ามได้เงินเดือนจากรัฐบาลเดือนละ 18,000 บาท ทำไมต้องเอาใจมุสลิมกันอย่างนั้น
ตอบ: ไม่ใช่แค่โต๊ะอิหม่าม ทางคอเต็บ บืหลั่นก็ได้ด้วย แต่อิหม่ามได้ 1,500 บาทต่อเดือน คอเต็บ บิหลั่นได้คนละพันบาท รัฐธรรมนูญไม่ต้องการให้แบ่งแยก ทุกคนต้องเท่ากัน เมื่อรัฐบาลให้ค่าตอบแทนเจ้าอาวาสก็ต้องให้อิหม่าม ให้บาทหลวงด้วย ประเทศไทยน่ารักตรงนี้ หากให้โต๊ะอิหม่าม 18,000 เจ้าอาวาส บาทหลวงก็ต้่องได้เท่ากันหรือมากกว่า เพียงแต่มันไม่ได้มากอย่างนั้น ข้อมูลมันไม่ถูกต้อง
ถาม: เขาว่าสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยมีรายได้จากฮาลาลมาก ไม่ต้องเสียภาษีด้วย เอาเปรียบกันเกินไปไหม
ตอบ: เรื่องไม่เสียภาษีนี่เรื่องจริง ใครบริจาคให้สำนักงานคณะกรรมการอิสลามยังลดหย่อนภาษีได้อีก แต่กฎหมายกำหนดไว้อย่างนั้น สำนักงานคณะกรรมการอิสลาม และมัสยิดจัดเป็นองค์กรศาสนาเหมือนวัดและโบสถ์ มีรายได้แล้วเขายกเว้นภาษีให้ ส่วนที่ว่ารายได้มากนั้น ตอน พ.ศ.2558 ประเทศไทยมีรายได้จากอาหารฮาลาลเข้าประเทศเฉพาะที่ส่งออกไปประเทศมุสลิมไม่นับผลิตภัณฑ์ฮาลาลที่ส่งออกไปยังประเทศที่ไม่ใช่มุสลิมรวมแล้ว 213,500 ล้านบาท เงินจำนวนนี้คนที่ได้ประโยชน์คือผู้ประกอบการ คนงาน เกษตรกร รัฐบาล คนไทยทั้งหมด ซึ่งแทบไม่มีมุสลิมเลย ส่วนสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยกับสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีรายได้จากเงินก้อนนี้ 70 ล้านบาท หรือเพียง 0.033%
ถาม: 70 ล้านบาทนี่เอาไปทำอะไรกัน
ตอบ: สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยมีบุคลากรประมาณ 150 คน หากรวมเจ้าหน้าที่ในสำนักจุฬาราชมนตรีด้วยก็ประมาณ 200 คน คนเหล่านี้ต้องการเงินเดือน คณะกรรมการมีฝ่ายต่างๆ 12 ฝ่าย ทั้งฮัจย์ สังคมสงเคราะห์ ยาเสพติด วิชาการ เยาวชน สตรี มีอนุกรรมการรวมกันแล้วหลายร้อย เจ้าหน้าที่ฮาลาลอีกเป็นร้อย มีค่าใช้จ่ายกับฝ่ายต่างๆมากมาย ครั้งที่แล้วน้ำท่วมก็ต้องลงไปช่วยที่นคร ภัยหนาวที่อิสาน ไฟไหม้โรงเรียนที่เชียงรายทำเอาเด็กนักเรียนเสียชีวิตไปหลายรายยังส่งเงินไปช่วย ทั้งหมดที่ว่ามานี่ไม่ใช่มุสลิมสักราย เพราะประเทศไทยแบ่งแยกไม่ได้ไง ต้องช่วยทั้งหมด ไปลงทุนเรื่องศูนย์บำบัดยาเสพติดอีกหลายสิบล้าน ทั้งกรรมการกลางยังต้องดูแลมัสยิดในอีก 38 จังหวัดที่ไม่มีกรรมการประจำจังหวัด คิดว่า 70 ล้านพอไหมล่ะ
ถาม: เรื่องฮาลาลทำไมต้องออกตรารับรองให้ด้วย
ตอบ: ไม่ออกให้ก็ได้ อย่างอินโดนีเซียประชากร 250 ล้านคน เป็นมุสลิม 215 ล้านคน ตลาดฮาลาลใหญ่โตมโหฬาร เขาว่าหากประเทศไทยส่งออกไปอินโดนีเซียแล้วไม่รับรองฮาลาล ต้องแจ้งด้วยว่าผลิตภัณฑ์ของเราไม่เหมาะกับมุสลิม หากไม่รับรองฮาลาล ทางอินโดนีเซียเขาขอมารับรองให้เอง วันนี้เรามีโรงงานที่พร้อมขอการรับรองฮาลาล 30,000 โรง แต่มาขอจริงแค่ 10% อีก 90% ไม่มาขอเนื่องจากตราฮาลาลไม่มีการบังคับ อยากจะได้ก็มาขอ ข่าวที่ว่าไปบังคับให้เขารับตราฮาลาลนั่นก็เข้าใจผิด
ถาม: เขาไม่ขอคงเพราะเก็บแพง
ตอบ: ตราฮาลาลประเทศไทยราคาถูกที่สุดแล้ว ทางคณะกรรมการกำหนดไว้ว่าห้ามเกิน 20,000 บาท เอาเข้าจริง OTOP SME ลดราคาหมด อย่างปีที่แล้ว SME 4,000 ราย ขอตราฮาลาลประเภทร้านอาหาร ไม่ต้องจ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว หลายจังหวัดเขาเก็บ OTOP แค่ร้อยบาท
ถาม: มีข่าวว่ามีคนบางกลุ่มขอให้ สนช. ออกกฎหมายโอนอำนาจการออกตราฮาลาลให้ไปอยู่กับองค์กรอื่นๆ
ตอบ: เรื่องนี้พูดกันมานาน บางทียังว่ารัฐบาลจะตั้งกรมฮาลาล ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าฮาลาลเป็นเรื่องศาสนา องค์กรหรือหน่วยงานที่ไม่ใช่ศาสนาไปรับรองฮาลาลอาจไม่เหมาะ ต่างประเทศไม่ยอมรับ อีกเรื่องหนึ่งคือกฎหมายว่าด้วยการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามประกาศใช้ใน พ.ศ.2540 เกิดในช่วงบรรยากาศประชาธิปไตยเบ่งบาน ตาม พรบ. มุสลิมทุกคนเลือกกรรมการมัสยิด อิหม่ามมัสยิดที่เลือกมาจากประชาชนเลือกกรรมการจังหวัด กรรมการจังหวัดเลือกจุฬาราชมนตรีและเลือกกรรมการกลาง โครงสร้างที่มอบอำนาจให้กับผู้แทนประชาชนอย่างนี้มีประเทศไทยประเทศเดียว แต่วันนี้ทางอินโดนีเซียกับมาเลเซียเขาจะทำตาม หากกรรมการมีปัญหาก็ต้องแก้ไขที่การพัฒนาองค์กรและบุคลากร ทำเหมือนสมัยพัฒนา อบต. อบจ. นั่นแหละ สุดท้ายก็ดีเอง หากจะตั้งองค์กรใหม่ก็ต้องหาองค์กรที่มีผู้แทนมาจากประชาชนอย่างนี้ ไม่ใช่เอาใครก็ได้อย่างที่บางประเทศทำ หรือให้รัฐมนตรีตั้งอย่างที่เคยเสนอกันมาแล้ว
ถาม: ทำไมกรรมการกลางไม่ชี้แจงให้คนเข้าใจ
ตอบ: บรรยากาศไม่ค่อยดีก็เลยไม่มีการชี้แจง ผมเองไม่ได้เป็นโฆษก เมื่อมีโอกาสก็อยากจะชี้แจง ที่ออกมาครั้งนี้ก็เพราะข้อมูลที่เผยแพร่ออกมา มันมีความเข้าใจผิดแยะ ฮาลาลให้ผลประโยชน์กับประเทศชาติมหาศาล คนที่ไม่รู้จะได้รู้
ที่มาข้อมูล : https://www.facebook.com/drwinaidahlan/